การปล่อยวางความทุกข์ ทำได้จริงหรือไม่

การปล่อยวางความทุกข์ ทำได้จริงหรือไม่

กาลครั้งหนึ่งไม่นานนัก มีเศรษฐีคนหนึ่งเขารู้สึกว่ากิจการและภาระหน้าที่การงานของเขานั้นทำให้เขาเป็นทุกข์ใจเป็นอย่างมาก เพราะเขามีสิ่งที่ต้องกังวลเต็มหัวจิตหัวใจมากมายเต็มเสียไปหมด “การทำการค้านี่ต้องอยู่กับการเงิน การลงทุนตลอด เวลาลงทุนเยอะ เวลาลงทุนอะไรไปแล้วต้องมัวมากังวลแต่ว่าจะขายออกหรือไม่ คู่แข่งจะเยอะหรือไม่ ราคาสินค้านั้นจะตกลงหรือไม่ ทำให้ถึงแม้ตัวข้าจะมีเงินทองมากมายสักเท่าไหร่ ก็ไม่รู้สึกว่าชีวิตจะมีความสุขอันใดเลย” เขาเป็นอยู่อย่างนี้มาเนินนานแล้ว ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งเกิดเป็นความเครียดสะสม จนเขารู้สึกว่าทนอยู่แบบไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาคิดขึ้นมาได้ว่า “เป็นเช่นนี้ต่อไปการมีเงินมีทองมากมายจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อตัวข้านั้นไม่มีความสุข ข้าได้ยินมาว่าบนเขาปัญญายุทธ์ มีนักพรตปริศนาผู้หนึ่ง ท่านมีของวิเศษ ที่สามารถช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากได้ทุกเรื่อง ข้าคงต้องลองขึ้นเขาไปขอคำชี้แนะจากท่านนักพรตดูเสียแล้ว บางที ท่านอาจจะให้ของวิเศษ ที่สามารถช่วยดับความกังวลใจให้ข้าได้”

วันต่อมาเขาจึงได้ออกเดินทางไปยังเขาแห่งปัญญายุทธ์ เมื่อไปถึงเขาแห่งปัญญายุทธ์แล้วนั้นก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่ง “คารวะท่านนักพรต ทำคือนักพรตเฉินกุ้ยเซียนผู้เรืองชื่อใช่หรือไม่?” เขาถามบุคคลตรงหน้าออกไปอย่างตรงไปตรงมา “ใช่แล้ว ท่านมาหาข้ามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอันใดอย่างนั้นหรือ? ถึงได้ด่วนหามาข้าถึงที่นี่” ท่านผู้นั้นตอบมาด้วยเสียงอันเย็นเฉียบแต่กลับมีความอบอุ่นบางอย่างที่บอกไม่ถูก ท่านเศรษฐีได้เล่าเรื่องราวความกังวนใจของตนที่เกิดขึ้นให้ท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียนฟัง เมื่อเฉินกุ้ยเซียนได้ฟังแล้วจึงเอ่ยออกมาว่า “อันความกังวลของท่านนั้นสามารถดับได้โดยง่าย เพียงแค่รู้จักปล่อยวางแค่นั้นเอง” เศรษฐีเมื่อได้ยินก็แปลกใจยิ่งนัก จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัยว่า “การปล่อยวางคืออะไรอย่างนั้นเหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้นท่านนักพรตจึงได้อธิบายให้ฟังว่า “การปล่อยวางคือปล่อยวางความยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งที่ท่านนั้นมีอยู่ทั้งปวง ถ้าจิตของท่านยึดความทุกข์ไว้ท่านก็จะยิ่งทุกข์ ปล่อยได้ หยุดคิดถึงได้ ท่านจะเบาและคลายทุกข์ได้เอง” เมื่อพูดจบแล้วท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียงก็ได้เดินจากไป เศรษฐีเมื่อได้ยินคำชี้แนะจากเฉินกุ้ยเซียนจึงคิดได้ว่า “ท่านนักพรต ให้เราหยุดคิดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลใจอย่างนั้นหรือ อืม… ข้าจะลองนำไปปฏิบัติดูก็แล้วกัน”

เมื่อเศรษฐีกลับมาถึงบ้านเขาก็พยายามจะเลิกคิดเรื่องเครียดกับสิ่งที่เคยเป็นกังวลใจ แต่ปรากฏว่าเขาก็ไม่สามารถที่จะทำได้สักที “อืม.. สินค้าที่เราสั่งมาขายยังเหลืออยู่เต็มโกดังไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ จะให้เราเลิกกังวลใจ จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าของยังขายไม่หมดเราคงจะไม่สามารถที่จะวางใจได้หรอก” เมื่อผ่านไปหลายวันเข้าเขาจึงคิดว่าการปล่อยวางที่ท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียนบอกไว้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ “การปล่อยวางอย่างนั้นเหรอ ชั่งเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี เป็นคำพูดที่ฟังดูดีแต่ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะปฏิบัติไม่ได้จริง ปัญหามีอยู่ทนโท่จะให้ข้าหยุดคิดเลิกคิดถึงใครจะไปทำได้ เห็นทีข้าต้องไปหาท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียนอีกรอบเสียหน่อยแล้วล่ะ” เมื่อพูดจบตนเองจบเขาจึงตัดสินใจรีบเดินทางไปหาเฉินกุ้ยเซียนบนเทือกเขาปัญญายศอีกครั้งทันที เมื่อมาถึงเศรษฐีก็ตรงเข้าไปพูดคุยกัยท่านนักพรตเฉินในทันที “ท่านอาจารย์เฉินกุ้ยเซียน การปล่อยวางที่ท่านสอนข้านั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี ข้านั้นได้ลองพยายามทำตามคำบอกของท่านแล้ว แต่ก็หาทำตามได้ง่ายอย่างที่ท่านว่าไม่ ไม่มีหนทางอื่นที่จะช่วยตัวข้านั้นดับทุกข์ภายในใจได้เลยอย่างนั้นหรือ?” นักพรตเฉินกุ้ยเซียนเมื่อได้ฟังจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้คงไม่พ้นต้องใช้ของวิเศษเสียแล้วสินะ” เศรษฐีเมื่อได้ฟังก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ในที่สุดท่านก็ยอมปล่อยของวิเศษออกมาจนได้ ได้ยินมาว่าท่านมีของวิเศษที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากได้เป็นเรื่องจริงๆ ด้วย” ท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียนได้เดินไปหยิบเอากล่องใบหนึ่งออกมา “สิ่งนี้คือกล่องหัวใจมังกร ผู้ที่ครอบครองจะพบเจอแต่ความสุขไม่มีสิ่งใดมาสร้างความทุกข์ใจให้ได้” เศรษฐีรับกล่องหัวใจมังกรมาด้วยความดีใจเป็นอันมาก “ขอบคุณท่านนักพรตเฉินเป็นอย่างมาก ต่อไปนี้ข้าคงไม่ต้องทุกข์ร้อนใจอีกต่อไปแล้ว” เมื่อพูดจบเขาก็ได้ขอตัวลากลับในทันที

เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็รู้สึกว่าความทุกข์ใจความกังวลใจของเขานั้นได้คลายลงไปอย่างมาก คืนนั้นเขาจึงหลับได้อย่างสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี “บัดนี้ข้าเลิกกังวลใจแล้วว่าจะขายของได้หรือไม่ได้ เมื่อได้คลายความกังวลใจเราก็รู้สึกเบาสบายจริงๆ เลย หลับต่อดีกว่า ตื่นขึ้นมาจะได้สดชื่นหัวสมองปลอดโปร่ง คิดอะไรจะได้คล่องๆ” หลังจากวันนั้นเศรษฐีก็ได้ทำมาค้าขายเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา แต่เขาทำด้วยความไม่กังวลใจเหมือนเคย แม้บางครั้งจะมีปัญหาบ้าง แต่เขาก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ดีกว่าเดิม ชีวิตของเศรษฐีดูราบรื่นขึ้นดูสีหน้าของเศรษฐีมีความสุขขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ไม่เคร่งเครียดเหมือนเมื่อก่อนจนบรรดาเพื่อนบ้านของเศรษฐีสังเกตเห็นได้ เมื่อมีโอกาสพวกเขาก็ต่างเข้ามาถามเศรษฐีว่าไปทำอย่างไรมา “ทำเศรษฐีท่านไปทำอะไรมาอย่างนั้นหรือ แต่ก่อนข้าเห็นแต่ท่านเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาเลย แต่เดี๋ยวนี้สีหน้าของท่านช่างดูมีความสุขเสียเหลือเกิน ข้าล่ะอยากรู้เสียจริงๆ” เศรษฐีตอบด้วยความภูมิใจว่า “ก็เพราะว่าข้าได้ของวิเศษจากท่านนักพรตอาจารย์เฉินกุ้ยเซียนมาน่ะสิ” เศรษฐีได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนบ้านได้ฟัง พอพวกเพื่อนบ้านได้ฟังต่างก็รู้สึกว่าตนเองมีก็ความทุกข์ใจความกังวลใจอยู่กับตัวด้วยเหมือนกันบ้างก็อยากให้จะได้ของวิเศษเหมือนอย่างเศรษฐีบ้าง “ข้าก็มีความทุกข์ใจเหมือนกัน ข้าอยากจะลองลงทุนการค้ากิจการใหม่ แต่ข้าก็ยังไม่กล้าทำสักทีกลัวว่าจะขาดทุน” ชาวบ้าน1 “ ข้าก็กังวลการสอบประเมินที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน แค่รู้ว่าจะมีการสอบประเมินผลข้าก็รู้สึกไม่สบายใจเลย มีแต่ความกังวลใจเต็มไปหมดจนข้าไม่มีกำลังใจในการอ่านตำรับตำรา แล้วทำอะไรก็ไม่มีความสุขเลยกลัวแต่ว่าจะสอบตก” ชาวบ้าน2  เมื่อเศรษฐีได้ฟังสิ่งที่เราชาวบ้านมาบอกกับตนจึงตอบกลับชาวบ้านไปว่า “พวกท่านก็ลองไปขอของวิเศษจากท่านอาจารย์เฉินกุ้ยเซียนดูบ้างสิ แต่ถ้าท่านนักพรตอาจารย์เฉินบอกให้พวกท่านปล่อยวางล่ะก็ อย่าไปสนใจคำพูดท่านนักพรตนะ ให้พวกท่านขอกล่องหัวใจมังกรจากท่านมาเลย” เมื่อเหล่าชาวบ้านได้ฟังดังนั้นก็จึงตัดสินใจพากันไปขอของวิเศษจากท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียนบ้าง “คารวะท่านนักพรต” “คารวะท่านนักพรต”

เมื่อพวกเขาได้ของวิเศษนั้นมาแล้วพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าชีวิตราบรื่นขึ้นกันทั่วหน้า แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็ได้มารวมตัวพูดคุยกันถึงความวิเศษของกล่องหัวใจมังกรที่ตนได้รับมา “แต่ก่อนข้าก็มัวแต่กล้ากล้ากลัวกลัวที่จะเปิดกิจการใหม่ เดี๋ยวนี้ข้าได้ลงมือเปิดกิจการใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ การค้าก็กำลังไปได้สวย” ชาวบ้าน1 “ตั้งแต่ได้กล่องหัวใจมังกรมาข้าก็สบายใจขึ้นเยอะ จิตใจไม่วอกแวกมีสมาธิ มีกำลังใจในการอ่านตำหรับตำราอย่างล้นเหลือ จนการสอบของข้าก็ผ่านไปได้ด้วยดีเลยล่ะ” ชาวบ้าน2 “เห็นไหมล่ะข้าก็บอกพวกท่านแล้ว ว่าของวิเศษของท่านนักพรตอาจารย์เฉินกุ้ยเซียนนั้นดีจริงๆ ไม่เห็นจะต้องไปทำใจปล่อยวางดั่งที่อาจารย์เฉินสอนไว้ตั้งแต่ทีแรกเลย การปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องที่เหลวไหล ต้องกล่องหัวใจมังกรนี่สิถึงจะเรียกว่าเป็นของจริง” เศรษฐีเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังของตนเองนั้นเขากลับทำกล่องหัวใจมังกรหล่นลงพื้นจนตัวกล่องนั้นเปิดออก พวกเขาต่างมองจ้องดูข้างในกล่องนั้น ปรากฏว่ากลับว่างเปล่าไม่พบว่ามีหัวใจมังกรอยู่ข้างในอย่างที่คาดเดาไว้เลย เศรษฐีจึงได้กล่าวขึ้นมาด้วยความโมโหขุ่นเคืองใจว่า “นี่ท่านนักพรตอาจารย์เฉินหลอกพวกเราอย่างนั้นเหรอ? ข้างในกล่องไม่เห็นมีอะไรอยู่เลย ไหนพวกท่านรองเปิดกล่องของพวกท่านดูหน่อยซิ ว่ามีอะไรอยู่ข้างในหรือไม่?” เมื่อพวกเพื่อนบ้านของเศรษฐีได้ฟังดังนั้นต่างก็รีบพากันเปิดดูกล่องหัวใจมังกรของตนเองในทันที สิ่งที่ปรากฏภายในนั้นก็ว่างเปล่าเช่นกัน ไม่มีหัวใจมังกรอยู่เลย แต่เพื่อนบ้านคนหนึ่งตาดีได้สังเกตเห็นว่าภายในกล่องนั้นมีกระดาษอยู่ข้างใน 1 แผ่นถูกพับทบไปทบมาจนเล็กจิ๋ว “เดี๋ยวก่อนท่านเศรษฐี รู้สึกว่าข้างในกล่องจะมีกระดาษอยู่แผ่นนึงนะ ลองเอาออกมาดูซิว่ามีอะไรเขียนอยู่หรือไม่?” ทุกคนจึงได้หยิบเอากระดาษที่อยู่ในกล่องนั้นออกมาดู ในกระดาษแผ่นนั้นมีตัวหนังสือซึ่งเขียนเป็นคำหนึ่งคำว่า “ปล่อยวาง”

ดุจดังสายลมแห่งปัญญาได้พัดผ่านเข้ามา ทุกคนเมื่อได้อ่านคำที่อยู่ในกระดาษแผ่นเล็กจิ๋วนั้นแล้ว แต่ก็เข้าใจได้ในทันที “คำว่าปล่อยวางที่ทีแรกนั้นข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด แล้วคิดเอาเองว่าทำตามมิได้จริง บัดนี้ข้ากลับเข้าใจได้แล้ว ว่าที่ผ่านมานั้นตั้งแต่ถ้าได้กล่องหัวใจมังกรนี้มา ใจของข้านั่นเองที่เลิกไปยึดติด เลิกคิดกังวลถึงสิ่งที่เป็นทุกข์ใจ แม้เรื่องราวต่างๆ จะเป็นอยู่เช่นเดิม แต่เมื่อใจเราไม่ได้ไปคิดกังวลตามเราก็ไม่เป็นทุกข์ แท้จริงแล้วหัวใจมังกรก็คือหัวใจที่ไม่ยึดติดและปล่อยวางได้ของตัวเรานั่นเอง” เมื่อพวกเพื่อนบ้านของเศรษฐีได้ฟังก็ต่างเข้าใจได้ในที่สุด “บัดนี้พวกข้าน้อยเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า จิตใจที่ปล่อยวางของพวกเรานั่นเองที่ทำให้เราคลายความทุกข์ใจลงได้ ปัญญายุทธ์ของอาจารย์เฉินกุ้ยเซียนนั้นสูงส่ง สมคำร่ำลือ ข้าน้อยขอคารวะ”

ปัญญายุทธจากเรื่องนี้

“ชีวิตของคนเรานั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบเจอกับปัญหา อุปสรรค และความไม่แน่นอนแต่เราสามารถที่จะไม่ทุกข์ใจกับสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นได้ โดยทำใจให้ไม่ยึดติด แล้วทำจิตให้ปล่อยวาง”